วันที่ (20 ก.ย.67) มูลนิธิร่วมกตัญญู นำโดย บิณฑ์ และเอกพัน บรรลือฤทธิ์ จัดพิธีบวงสรวงสักการะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 บริเวณลาน ภายในป้อมพระจุลจอมเกล้า อ.พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระปิยมหาราช ครบรอบ 171 ปี ซึ่ง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ พระเอกนักบุญเพื่อมวลชน ได้จัดพิธีบวงสรวงขึ้นอย่างต่อเนื่องมากว่า 30 ปี โดยในปีนี้ได้ย้ายมาจัดพิธีบวงสรวงสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่บริเวณลานภายในป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ โดยในพิธีจะมีการถวายเค้กยักษ์ ขนาด 555 ปอนด์ ต่อพระองค์ท่าน ขณะที่ บัวขาว บัญชาเมฆ เดินทางเข้าร่วมพิธี พร้อมทั้งแต่งกายเป็นนักมวยไทยโบราณ เพื่อรำถวายพระองค์ท่าน ก่อนที่ บิณฑ์-เอกพัน บรรลือฤทธิ์ และผู้ร่วมงานจะแจกจ่ายอาหาร รวมถึงเค้กมงคลในกับประชาชนที่มาร่วมพิธีมหามงคล
สำหรับบรรยากาศภายในงานคับคั่งไปด้วยบุคคลสำคัญ อาทิ ดร. รัตนา สมสกุลรุ่งเรือง ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู, นางเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ จากสหมงคลฟิล์ม, คุณพรพิมล มั่นฤทัย ผู้บริหารค่ายโคลีเซี่ยม ฟิล์ม ซึ่งได้นำนักแสดงมาร่วมพิธีมากมาย เช่น เข้ม หัสวี และทีมงานผู้กำกับละครชื่อดัง ทองก้อน ศรีทับทิม มาร่วมพิธีมหามงคลในครั้งนี้
ทั้งนี้วันที่ 20 กันยายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพ ของรัชกาลที่ 5 เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงเสียสละพระวรกาย ทุ่มเทเพื่อปวงชนชาวไทยนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกทาส, ก่อตั้งรถไฟไทย, ก่อตั้ง รร.นายร้อยฯ ฯลฯ ปวงชนชาวไทย เห็นสมควรน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่าน
บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เล่าเรื่องราวความผูกพันกับพระองค์ท่านในอดีตให้ฟังว่า ทุกๆปีพยายามจะคิดว่า อะไรที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรานึกถึงพระองค์ท่านได้ ตนคิดมาตลอด วันเลิกทาสก็ทำมาแล้ว รถไฟก็ทำมาแล้ว การประปา การไฟฟ้า โรงเรียน โรงพยาบาล ก็ทำมาหมดแล้ว ปีนี้คิดว่า ตอนที่พระองค์ท่านประชวรได้ไปรักษาตัวที่ พระที่นั่งวิมานเมฆ แต่พระที่นั่งวิมานเมฆก็เคยทำมาแล้ว ตั้งแต่สมัยลานพระบรมรูปทรงม้า ตอนนั้นทำมาสวยงามมาก มาปีนี้ก็อยากรำลึกถึงพระองค์ท่าน ก็เลยทำเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆ ทุกคนที่เคยไปพระที่นั่งวิมานเมฆ จะ จะเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ก็ว่าได้ จะเห็นได้ว่าของใช้ของพระองค์ท่านยังอยู่ครบ และยังอยู่เหมือนเดิม ยังไม่มีการทะนุบำรุง ยังอยากให้เห็นว่า ที่ท่านสวรรคตคือห้องนี้ ยังระลึกถึงพระองค์ท่านเสมอมาเพราะพระองค์ท่านคือกษัตริย์ผู้ที่ เลิกทาส และเป็นกษัตริย์ที่นำความเจริญมาให้แก่ประเทศชาติ ประเทศชาติที่เราจะเจริญมาได้ ที่มีอารยธรรมเหมือนตะวันตกตะวันออก พระองค์ท่านได้นำเข้ามาให้เราทัดเทียมกับชาติต่างๆ
ไทค์ เอกพัน บรรลือฤทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่คุณบิณฑ์ทำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกิดในรัชสมัยพระองค์ท่าน ไม่ทันพระองค์ท่านแต่เราเป็นคนไทย เราเรียนหนังสือเรารู้เราอ่านจากประวัติศาสตร์ของไทย ที่ว่าพระองค์ท่านทำอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง เราเป็นประสบนิกรที่รักในพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์จักรี ที่มีมาถึงตอนนี้ 10 รัชกาล เรา ทูลเกล้าน้อมเกล้ามาทุกรัชกาล อย่างที่คุณบิณฑ์บอก ที่พระองค์ท่านทำให้กับประเทศชาติ คือการเลิกทาส ทำให้ไทยได้เป็นไทยจนถึงทุกวันนี้
บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ตอนประเทศชาติตกในภาวะวิกฤตพระองค์ท่าน ใช้สติปัญญา ในการที่จะทำอะไรแลกกับอะไร ถ้าได้อ่านประวัติศาสตร์จะรู้เลยว่าพระองค์ท่านทำอะไรให้กับประเทศชาติหนักมาก จริงๆแล้วอายุของพระองค์ท่านน่าจะสัก 80-100 ปี แต่พระองค์ท่านสวรรคตตั้งแต่อายุยังน้อย 53 พรรษา เพราะว่าพระองค์ท่านทำงานหนัก อันดับแรกต้องถามว่าทำไมถึงทำให้พระปิยมหาราช ทำไมไม่ทำให้พระมหากษัตริย์องค์อื่นๆ จริงๆแล้วพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ มีคุณค่าแก่ประเทศชาติอย่างมาก แต่รัชกาลที่5 เป็นผู้ที่นำความ มาให้แก่ประเทศชาติ จนมาถึงประเทศไทยทุกวันนี้ มีเรื่องอยู่ว่าวันนั้นตนต้องไปทำงานที่ร้านพระบรมรูปทรงม้า ตนได้ฝันเห็นพระองค์ท่านมากับในหลวงรัชกาลที่9 แล้วพระองค์ท่านใส่ชุดราชภัฎแตล ตนกำลังรอรับเสด็จ แล้วพระองค์ท่านก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าตน ต้นเงยหน้าเห็นพ่อ ร.5 และในหลวงรัชกาลที่9 ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพระองค์ท่านก็มาเจิมแตะที่หน้าผากของตน แล้วพระองค์ท่านก็ยิ้มตนก็ก้มกราบกราบ ถือว่าเป็นฝันที่ดีที่สุด หลังจากนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาตนไปเล่นหนังที่กาญจนบุรี อยู่ในป่าลึก แล้วมีฉากที่ต้องหลบระเบิด
ตอนนั้นตนเล่นเป็นทหาร หลังจากหลบระเบิดตนได้เจอเหรียญ 1 เหรียญ อยู่ตรงหน้าตนที่ตนหมอบอยู่ เป็นเหรียญสีดำ ตนจึงเก็บใส่กระเป๋าพอถึงตอนพักกลางวันจนหยิบเหรียญออกมา ตนพยายามขัดและได้ไปขอมะนาวจากแม่ครัว และพยายามขัดปรากฏว่าเป็นเหรียญโสรส 112 ของรัชกาลที่5 ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะไปเจอในป่าลึก ตนเลยอธิษฐานถึงพระองค์ท่าน หลังจากนั้นตนได้ซื้อบ้านใหม่อยู่ที่ปอผาสุก และตอนนั้นยังมีหนี้อยู่ประมาณ 5 ล้านบาท ตนได้ไปขออยู่ตรงลานพระบรมรูปทรงม้าขอให้ปีนี้หมดหนี้ ขอให้มีเงินมีงานเข้ามาปลดหนี้ 5 ล้านบาท และภายในปีนั้นตนมีงานเยอะมาก ทั้งงานโฆษณา ทั้งหนัง และยังไม่ถึงปี นี่ 5 ล้าน ตนสามารถปลดได้ หลังจากนั้นตนได้กลับไปหาพระองค์ท่านและบอกว่าทุกวันอังคารที่ 20 กันยายน เป็นวัน พระราชสมภพ ตนจะมาทำความสะอาดที่ลานพระบรมรูปทรงม้าให้พระองค์ท่าน จากที่ตนมาทำคนเดียว เพิ่มมาเป็นสามเป็นห้าจนถึง 100 คน จากพี่น้องประชาชนไปไหว้จากหลักสิบ หลักร้อย แต่เวลาตนมาทำความสะอาดบานพระบรมรูปทรงม้า มีหลักพันจนถึงหลักหมื่น ทุกคนเลยรู้ว่าวันพระราชสมภพคือวันที่ 20 กันยายน เพราะทุกคนจะจำ ได้ว่าวันที่ 23 ตุลาคม คือวันที่พระองค์ท่านสวรรคต นี่คือความผูกพันที่ตนจะต้องทำถวายพระองค์ท่าน ปีนี้ตนจัดมาเป็นปีที่ที่ 31 หรือ 32 ตนจำไม่ได้ จากลานพระบรมรูปทรงม้า แต่ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นพระราชวัง เกี่ยวกับ พระราชวังดุสิตก็เลยจัดไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นตรงป้อมพระจุล
ศราวุธ คงสินธ์ / ธนวัต นาคขำ จ.สมุทรปราการ