ถ้าขับรถมาจากอำเภอเมืองเข้ามาเส้นบางพาน เลยอบต.หัวไผ่ มาประมาณ 3 กม. เจอทาง 4 แยก เลี้ยวขวามา 200 เมตร จะเห็นนาบัวกว้างใหญ่ที่มีขนาด 15 ไร่ ในขณะที่รอบๆ นาบัวนั้นเป็นนาข้าวทั้งหมด จนทำให้ผู้สื่อข่าวอยากรู้ว่าใครเป็นเจ้าของนาบัวแห่งนี้ จนได้ไปเจอ พี่อำนวย คุ้มไพรี อายุ 53 ปี ชาวตำบลหัวไผ่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ขณะกำลังนำบัวฉัตรมามัดเป็นกำอยู่ จึงเข้าไปสัมภาษณ์ทันที พี่อำนวยเล่าว่า “ก่อนหน้านี้เคยทำงานโรงงานแห่งหนึ่งแถวโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา มาระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อเพราะต้องตื่นแต่เช้ามืด เลิกงานกว่าจะถึงบ้านก็ค่ำ ไม่มีเวลาให้ครอบครัวและลูก 2 คนชาย-หญิง ซึ่งตอนนั้นยังเล็ก จึงตัดสินใจลาออกจากงานกลับมาช่วยพ่อทำนาข้าว แต่เนื่องจากพ่ออายุมากแล้วจึงให้ตนทำต่อ แต่ตนคิดว่าทำนาข้าว ปีนึงจะทำได้ 2 ครั้ง รายได้ไม่ได้ทุกวัน จึงได้ศึกษาและมีผู้แนะนำในการทำนาบัว จึงเริ่มเปลี่ยนจากนาข้าวมาทำนาบัวเมื่อปี 2548 เริ่มจากยกคันดินให้สูงขึ้น วางระบบท่อน้ำเข้านา แล้วปลูกบัวฉัตรเต็มพื้นที่ 15 ไร่ ในระหว่างทำก็พบปัญหาของการเลี้ยงบัวคือ เพลี้ยไฟ หนอน และหอยเชอรี่ ใช้วิธีแก้ไขโดยการใช้ยาและปุ๋ยกำจัดศรัตรูของบัว”
พี่อำนวยเล่าต่อว่า “จากเริ่มทำนาบัวนี้เป็นระยะเวลา 18 ปีแล้ว ส่งลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ตอนนี้ยังมาช่วยพ่อเก็บบัวทั้ง 2 คน โดยในทุกๆ วัน จะตื่นมาตี 4 กว่าจะออกจากบ้านมาถึงนาบัวก็ประมาณตี 5 พร้อมคนงานเก็บบัว 4 คนเมื่อเริ่มเก็บก็จะมีอุปกรณ์คือกาละมังใหญ่ 1 ใบ มีด 1 เล่ม เก็บใบบัวแก่รองคั่นดอกบัวจนเต็มก็จะพาลอยมาส่งริมตลิ่ง จากนั้นลูกสาว กับคนงานอีก 1 คนก็จะนำดอกบัวมานับกองละ 10 ดอก และพี่อำนวยก็จะนำใบบัวมาห่อและมัด ทำแบบนี้จนถึงเวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง ถ้าเป็นวันโกนกับวันพระ หรือวันสำคัญทางศาสนา ก็จะเก็บถึงประมาณเที่ยง เสร็จแล้วจะนำบัวขึ้นรถกระบะไปส่งที่ตลาดไท ที่ จ.ปทุมธานี ทุกวันวันละ 300 – 500 กำ ในราคาส่งกำละ 15 บาท ทางร้านที่ไปส่งก็จะไปขายต่อกำละ 30 บาท โดยมีลูกค้าประจำที่รอรับอยู่ 15 เจ้า ทำให้มีรายได้เข้ามาทุกวัน โดยรายได้ต่อเดือนที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน และยังทำให้ชาวบ้านแถวนั้นมีรายได้ในการเก็บบัว โดยจะมีค่าจ้างในการเก็บคือ 100 ดอก 20 บาท ทำครึ่งวันก็จะได้ 300-400 บาทต่อคน ส่งเสร็จรับเงินก็กลับบ้าน มีเวลาอยู่กับครอบครัวได้มากขึ้น”
จินตนา ปานมี ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สิงห์บุรี
