วันที่ (7 พ.ค.66) ย้อนรอยเรื่องวุ่นของผู้ที่ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายชายชุดดำบุกเข้ายึดวัดหิรัญญาราม หรือ วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร โดยวัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อเงินพระเกจิอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง หนึ่งในคำขวัญของจังหวัดพิจิตรที่มีเหตุชายชุดดำบุกยึดวัดเป็นข่าวดังจนทำให้เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บินด่วนด้วยเฮลิคอปเตอร์ มาบัญชาเหตุการณ์ จากวันนั้นถึงวันนี้วัดหลวงพ่อเงินบางคลานก็ยังวุ่นอยู่เหมือนเดิม
เรามาย้อนรอยไปเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566 ที่มีชายชุดดำประมาณ 12 คน บุกรุกเข้ามาในวัดเข้าไปภายในกุฎิสามฤดูทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของวัด ที่นอนหลับพักผ่อนอยู่ภายในกุฎิสามฤดู และลากตัวออกมาทำร้ายร่างกายต่อที่เชิงบันไดกุฎิ จากนั้นชายชุดดำเข้าทำร้ายร่างกายกรรมการวัดและคนงานของวัดได้รับบาดเจ็บสาหัส กลุ่มชายชุดดำสมทบกับชาวบ้านเข้ายึดวิหารหลวงพ่อเงินและบุกรุกเข้าอ้างตนมาเป็นผู้บริหารวัดหลวงพ่อเงินบางคลานจัดหาพระสงฆ์มานั่งรับสังฆทาน จัดคนมานั่งขายดอกไม้ธูปเทียน และเปิดรับบริจาคไม่ยอมให้ พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องไม่ให้เข้ามาปฏิบัติกิจของสงฆ์ในฐานะเจ้าอาวาส รวมถึงกรรมการของวัดและคนงานก็ห้ามเข้ามาในวัด จากวันนั้นถึงวันนี้ครบ 1 เดือนแล้ว
ย้อนรอยไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ บินด่วนมาลงที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอโพทะเล ซึ่งตั้งอยู่หน้า สภ.โพทะเล เรียกประชุมนายตำรวจซึ่งมี พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6, พล.ต.ต.สารนัย คงเมือง ผบก.สส.ภ.6 , พล.ต.ต. กำธร จันที ผบก.ภ.จว.พิจิตร , นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร รวมถึงฝ่ายปกครองเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาเรื่องของวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จากนั้นตำรวจพิจิตร-ตำรวจภาค 6 ก็เด้งรับออกหมายจับชายชุดดำได้ยกแก๊งและมีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 ที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร จากนั้นส่งฟ้องศาลยุติธรรมจังหวัดพิจิตร แต่ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวในชั้นศาล
จากวันนั้นถึงวันนี้เรื่องทั้งหมดกลับไม่ยุติทั้งๆที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อ 17 เม.ย. 66 ว่า “จะจัดตั้งคณะกรรมการกลางขี้นมาตรวจสอบทรัพย์สินของทั้งสองฝ่ายเพื่อให้เกิดความโปร่งใส เพราะหากตรวจสอบทรัพย์สินแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะเกิดความแคลงใจเรื่องก็จะไม่มีทางจบลงได้ซะที ส่วนการดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมก็คงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนกรณี พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม หรือ วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ววันนี้ไม่สามารถเข้าวัดได้ก็ต้องดำเนินการให้ท่านสามารถเข้าปฏิบัติกิจของสงฆ์ภายในวัดได้ตามสิทธิ ตามกฎหมาย”
ถึงวันนี้เวลาผ่านล่วงเลยจวบจน 1 เดือน ไม่ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการอื่นใดให้กลุ่มคนที่ละเมิดต่อกฎหมายเข้ามาอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันกับประชาชน นิ่งเฉยเสมือนหนึ่งไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่ละเมิดกฎหมายนำกฎหมู่มาบังคับใช้แทนกฎหมาย ยังคงยึดวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน เข้ามาจัดการทรัพย์สินของวัด เข้าไปเปิดใช้ทรัพย์สินที่รอการส่งมอบตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย
เรื่องเป็นแบบนี้แล้วประชาชนผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ไม่มีอำนาจจะอยู่อย่างไรเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายไม่นำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกัน บางส่วนเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของกลุ่มคนที่ปิดวัดยึดวัด ให้ความช่วยเหลือและสะดวกในการปกครองดูแลวัด เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้บังคับใช้กฎหมาย(บางคน)ไม่อยากเจ็บตัวเพราะเกรงกลัวกลุ่มคนที่ยึดวัดร้องเรียนก็ปฏิบัติตนแบบเช้าชามเย็นชาม
เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นหากจะให้เปรียบก็เหมือนเจ้าของบ้านออกเดินทางไปทำธุระที่ต่างจังหวัด สั่งลูกน้องให้ดูแลเปิดปิดบ้านให้ดี ขณะที่ลูกน้องพักผ่อนภายในบ้าน เวลาช่วงเช้าไม่รู้ว่าใครใส่ชุดดำกับพวกเข้ามาในบ้าน กระทืบๆๆๆ ลูกน้องเราแล้ว โยนลูกน้องออกจากบ้าน ยึดบ้าน ใช้ทรพย์สินภายในบ้าน นอนเปิดแอร์ภายในบ้าน เช้าเปิดบ้าน เย็นปิดบ้าน เสมือนหนึ่งเป็นบ้านตนเอง เจ้าของกลับมาเข้าบ้านไม่ได้ เกรงกลัวว่าจะถูกทำร้าย เจ้าหน้าที่รัฐทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าไปตรวจภายในบ้านและบอกว่าเจ้าของบ้านว่าทำอะไรไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้เจ้าของบ้านคงยืนหน้าบ้านตากแดดตากฝนต่อไป จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปหรือตำรวจไทย ซึ่งเรื่องนี้พุทธศาสนิกชนที่เคารพกราบไหว้นับถือหลวงพ่อเงินวัดบางคลานต่างตั้งคำถามว่าจะให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายเช่นนี้ต่อไปหรือ?
ล่าสุดวัดหลวงพ่อเงินบางคลานยังคงเปิดประตูให้นักท่องเที่ยวที่หลงมาหรือไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็เข้าไปไหว้พระทำบุญได้ภายใต้การยึดครองของผู้ที่ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายใช้วัดเป็นสถานที่ซ่องสุมและบริหารเงินบริจาคทำบุญแต่บรรยากาศทุกวันนี้ภายในวัดก็เงียบเหงามีคนหลงเข้ามาเพียงวันละไม่กี่คน แต่ภายในวัดยังมีกลุ่มบุคคลซ่องสุมเป็นเหลือบไรอยู่ภายในวัดทำเหมือนที่นี่คือบ้านของตน
สิทธิพจน์ เกบุ้ย จ.พิจิตร