วันที่ (13 มิ.ย.66 ) พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้กล่าวว่า วันนี้ได้เดินทางไปปฎิบัติศาสนกิจที่จังหวัดมหาสารคาม โดยได้โดยสารเครื่องบินขึ้นลงที่ท่าอากาศยานจังหวัดขอนแก่น โดยที่ท่าอากาศยานขอนแก่นนั้นพึ่งจะสร้างอาคารหลังใหม่แล้วเสร็จเป็นอาคารรับรองผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรองรับการเป็นสนามบินนานาชาติจึงเป็นอาคารใหญ่โตโอ่โถงสวยงามและทันสมัยและปรากฎว่าภายในอาคารหลังใหม่นี้มีห้องละหมาดของพี่น้องมุสลิมอยู่ใกล้ๆบริเวณห้องรับรองพิเศษ (VIP) โดยแยกเป็น 2 ห้องคือห้องละหมาดชายและห้องละหมาดหญิง แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่านั้นคือการไม่ปรากฎพบเห็นห้องพระหรือห้องที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นใดเลย ไม่มี
พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวต่อไปว่า จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดใหญ่ในภาคอีสานหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเมืองหลวงของชาวอีสานก็ว่าได้ ประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาวขอนแก่นนั้นไม่ว่าจะด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การตั้งรกรากเพื่อสร้างบ้านแปงเมือง วัฒนธรรมประเพณีและอื่นๆส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มีความเกี่ยวเนื่องและได้รับอิทธิพลความเชื่อจากพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดขอนแก่นก็นับถือพระพุทธศาสนาวัดวาอารามก็เต็มบ้านเต็มเมือง วัดที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมายลเมืองขอนแก่นก็มาก แต่ทำไมการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเมื่อจะสร้างอาคารผู้โดยสารที่ไหน อย่างไร ห้องที่จำเป็นที่ขาดไม่ได้ ต้องปรากฎในแบบแปลนการก่อสร้างคือห้องละหมาด แท้ที่จริงแล้วห้องที่จำเป็นจริงๆ เช่นห้องปฐมพยาบาล ห้องรับรองพิเศษ ห้องโถงผู้โดยสาร เป็นต้น
อย่างนี้พอเข้าใจได้ ซึ่งถ้าหากการท่าฯ ปฎิบัติแบบนี้อาตมาก็มีสิทธิถามได้ว่า ท่าอากาศยานขอนแก่น ทำไมไม่มีห้องพระ เพราะอะไรและถามต่อไปอีกว่า ทำไมมีแต่ห้องละหมาด คำถามนี้ไม่ใช่คำถามเพื่อสร้างความแตกแยก ไม่ได้ไปต่อว่าให้ศาสนาอื่น เพราะในทางศาสนานั้นเรารักกัน ให้เกียรติซึ่งกัน และกัน แต่อาตมาต้องการถามคำถามกับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยตามหลักธรรมาภิบาลพื้นฐานเท่านั้นเอง พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวในตอนท้าย