เมื่อวันที่ (6 พ.ค.66 ) พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นกรณีที่มีพรรคการเมืองบางพรรคมีนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้วเกี่ยวเนื่องด้วยศาสนาและพระพุทธศาสนานั้น
พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศเรากำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง สำหรับพระสงฆ์แล้วทุกรูปให้ความเคารพต่อมติมหาเถรสมาคมที่ไม่ให้พระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะเกรงว่าจะสูญเสียความเป็นกลางและไม่เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนโดยรวม ในเรื่องนี้พระสงฆ์ทุกรูปรวมทั้งตนเองด้วยต่างก็ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ในขณะนี้ได้มีพรรคการเมืองบางพรรค แกนนำพรรคการเมืองบางคนได้พูดผ่านเวที Future Of Creative Economy ซึ่งเผยแผ่ทางสื่อมวลชนโดยที่ผู้พูดเป็นหนึ่งในทีมเศรษฐกิจของพรรค เขาบอกว่า 6 เปลี่ยนเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์สังคมไทย ข้อแรกคือ เปลี่ยนกระทรวงวัฒนธรรมไทย เป็นกระทรวงเศรษฐกิจสร้างสรรค์
พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวว่า ในเรื่องนี้ในฐานะพระสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายดังกล่าวจึงอยากถามพรรคการเมืองพรรคนั้นว่าเมื่อมีแนวนโยบายอย่างนี้แล้ว ศาสนาทุกศาสนาและพระพุทธศาสนาจะอยู่ตรงไหน อยู่ตรงไหนในโครงสร้างและแนวนโยบายแห่งรัฐ อย่าลืมว่ากระทรวงวัฒนธรรมนั้นแยกออกมาจากกระทรวงศึกษาธิการ เฉพาะเรื่องศาสนา และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติเราโดย เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ทั่วโลกชื่นชมและด้วยความชื่นชม ชื่นชอบนี้นักท่องเที่ยวทั่วโลกส่วนหนึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม วัดวาอาราม ศาสนา ทั้งในเขตวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดอรุณ อยุธยา สุโขทัย เชียงใหม่ เป็นต้น แล้วความชื่นชอบด้านศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เหล่านี้มิใช่หรือที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของไทยเจริญเติบโตเติบโตและยังช่วยกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนคนรากหญ้าได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่แท็กซี่ สามล้อ คนขายไข่ปิ้ง ผู้ประกอบการทุกระดับไปจนถึงเจ้าสัว คนร่ำคนรวยในประเทศทั้งหลายและในปัจจุบันนี้ประเทศไทยเราก็พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวใช่หรือไม่ แล้วจะมายุบเอาดื้อๆเสียอย่างนี้ และถ้าเกิดว่ายุบจริงตานโยบายของพรรคท่านแล้วกระทรวงใหม่ที่ว่านี้งานจะซ้ำซ้อนกับกระทรวงเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมแล้วหรือไม่ เช่น กระทรวงการคลัง พาณิชย์ พลังงาน คมนาคม เกษตรและสหกรณ์ อุตสาหกรรม และหน่วยงานรวมทั้งภาระงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมเดิมจะไปอยู่ไหน เช่น กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร หอภาพยนตร์และศูนย์คุณธรรม หรือเพราะก่อนหน้านี้แกนนำของท่านที่บัดนี้กลายมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงเคยบอกไว้ว่ามีนโยบายให้มีศาสนาเสรีและรัฐไม่ต้องอุปถัมภ์ศาสนารวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย
พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวต่อไปว่า “ที่พูดนี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เพราะการการเมืองเข้ามาล้ำเขตแดนในโครงสร้างรัฐจึงมีผลกระทบต่อศาสนา พระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ทั้งประเทศอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้ อาตมาพูดโดยไม่ได้ระบุว่าใคร พรรคไหน อย่างไร แต่พูดด้วยความเป็นห่วงศาสนาและพระพุทธศาสนาว่าอาจจะถูกเข้าใจผิด อาจจะมองศาสนาในสังคมไทยด้วยภาพที่ไม่ชัดเจน แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งหมดที่พูดมานี้ก็พูดบนหลักแห่งเมตตาธรรม” พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวในตอนท้าย