ตะลึงไข่ปลาหมอคางดำอึดอดทนตากไว้นาน2เดือนยังฟักออกมาเป็นตัวชาวบานเผยหมดทางสู้จี้บริษัทเอกชนรับผิดชอบเยียวยา
จากกรณีที่พบปลาหมอคางดำระบาดใน จ.สมุทรสงคราม และระบาดไปกว่า 17 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งกรมประมงมีมาตรการกำจัดปลาหอคางดำ รวมทั้งปล่อยปลานักล่า โดยเฉพาะปลากะพงไปกินปลาหมอคางดำนั้น
ล่าสุดผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ่อเลี้ยงปลากะพง ในพื้นที่ ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม พบนายวัลลภ ขุนเจ๋ง อายุ 59 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งมากว่า 17 ปี ได้ปรับบ่อหันมาเลี้ยงปลากะพง โดยพาผู้สื่อข่าวไปดูลูกปลาหมอคางดำในบ่อขนาดเกือบ 200 ไร่ ที่โผลหัวมาจำนวนมาก จากนั้นได้ปล่อยน้ำลงอวนไม่ถึง 2 นาที ได้ลูกปลาหมอคางดำขนาด 1 นิ้ว รวม 18.5 กิโลกรัม
นายวัลลภ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนเลี้ยงกุ้ง 520 ไร่ ต่อมาปี 2554 ปลาหมอคางดำ เริ่มระบาด ตนจึงหันมาทดลองเลี้ยงปลากะพงในบ่อ 20 ไร่ก่อน ตนลงไป 5,000 ตัว แล้วปิดบ่อตาย พอครบกำหนดจับปลากะพงเหลือไม่ถึง 1,000 ตัว แต่ได้ปลาหมอคางดำ 9 ตัน ตนจึงเพิ่งรู้ว่าปล่อยปลากะพงขนาด 3 – 4 นิ้ว มันสู้กับปลาหมอคางดำไม่ไหว เพราะช่วงแรกที่ปล่อย ปลากะพงจะอ่อนเพลีย พวกแม่ปลาหมอคางดำตัวใหญ่จะรุมเข้าใส่ กัดตัวกัดหางจนมันตาย จากนั้นตนก็มาทดลองขยายเป็นบ่อ 40 ไร่ ก็เหมือนกันหมด จากนั้นก็ทดลองขุดบ่อขนาด 10 ไร่ ใหม่หมดปรับพื้นที่ตากบ่อให้แห้ง กรองน้ำเข้า พอครึ่งเดือนลูกปลาหมอคางดำเต็มไปหมด ตนจึงปล่อยปลากะพง 4 นิ้วลงไป 1,000 ตัว พอวิดบ่อได้ปลาหมอคางดำ 7 ตัน จากนั้นก็ทดลองปล่อยน้ำมีปลาหมอคางดำอยู่เต็ม แล้วปล่อยปลากะพง 7 – 8 นิ้วลงไป อีก 1,000 ตัว ช่วงแรกดีหน่อยเหมือนกับปลาหมอคางดำลดจำนวนลง แต่หลังจากนั้น 5 – 6 เดือน ปลาหมอคางดำเต็มไปหมดมันออกลูกเยอะ ก็ขึ้นปลาหมอคางดำได้ 5 ตัน ปลากะพงอยู่ครบ
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าปลากะพง มันกินปลาใหญ่กว่ามันไม่ได้ และก็กินปลาที่เล็กมากๆไม่ได้ ที่กรมประมงบอกว่าปล่อยปลากะพงมากินไข่ กินลูกตัวเล็กๆ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะตัวผู้มันอมไข่ อมลูก แล้วปลากะพงจะกินยังไง อีกทั้งปล่อยในธรรมชาติ ในคลองมีกอไม้ ต้นไม้ ที่หลบของปลาหมอคางดำเยอะ ปลากะพงก็คงเข้าไปกินลำบาก หากจะปล่อยในลำคลอง ต้องไม่ต่ำกว่า 6 – 7 นิ้วมันช่วยได้ ในระดับนึง แต่ไม่มีทางที่กำจัดมันได้ ตนไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยขนาด 2 – 3 นิ้ว นอกจากนี้หากปล่อยเป็นระยะๆ หากปล่อยที่เดียวกันปลากะพงตัวเล็กจะถูกตัวใหญ่ ไล่กิน เพราะผมทดลองมาแล้วผมปล่อยประมาณ 3 เดือน แล้วผมก็เอาปลา เล็กมาปล่อย ผลปรากฏว่าตัวเล็กไม่เหลือ ตัวใหญ่ที่ปล่อยไปก่อนมันไล่กินปลาเล็กหมด และปลากะพงจะกินสิ่งปลาที่มันอ่อนแอกว่าเท่านั้น ถ้าแข็งแรงกว่า มันไม่กินแน่นอน ดังนั้นตนมองว่าการปล่อยปลากะพง มันก็เป็นวิธีการแก้ไขส่วนหนึ่ง แต่ถ้าจะแก้แบบสมบูรณ์แล้วไม่มีทาง และที่สำคัญนักล่าปลากะพงคือคน ถ้าปล่อยปลากะพงเยอะๆ คนก็จับปลากะพงกินหมด ไม่กินปลาหมอคางดำ
ส่วนการที่รัฐบาลรับซื้อปลาหมอคางดำกิโลกรัมละ 15 บาท นายวัลลภมองว่า เมื่อหลายปีมาแล้วที่มีการระบาด 4 ตำบล 2 จังหวัด จ.สมุทรสงคราม รับซื้อกิโลกรัมละ 20 บาท แต่ต้องขึ้นทะเบียนประมง ในแหล่งน้ำธรรมชาติไม่รับซื้อ และยังจำกัดเวลารับซื้อแค่ 2 วัน ในเวลาราชการ บ่อหลาย 10 บ่อ หลายร้อยไร่ ให้จับพร้อมกันมาขายพร้อมกัน จะเอาแรงงานที่ไหน ขึ้นปลาไม่ทัน ก็ปล่อยทิ้งไว้ในบ่อ บางบ่อจับหมด พอปล่อยน้ำเข้า ปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติก็เข้ามาอีก และ ก็ขยายพันธุ์เพิ่มจนระบาดในปัจจุบัน ตอนนั้นน่ะถ้าเขารับซื้อหมดทั้งในบ่อ และในแหล่งน้ำธรรมาติ เอามาขายให้ มันก็ไม่ระบาดขนาดนี้
ดังนั้นต้องเปิดรับซื้ออย่างไม่มีข้อจำกัด รับหมด รวมทั้งไม่จำกัดเวลา อย่างไรก็ตามตนมองว่าการแก้ไขปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำนั้นยาก แต่เราก็ต้องปรับตัว ซึ่งตนก็ต้องปรับตัวเป็นบ่อตกปลากะพง เลี้ยงปลากะพงขนาดใหญ่ ขณะที่ธรรมชาติยังไงก็ไม่มีทางกำจัดได้ ทำได้อย่างเดียวคือ จำนวนให้น้อยลง อย่างไรก็ตามฝากรัฐบาลดูแลอย่าให้นำปลากะพงจากต่างชาติเข้ามากดราคาปลากะพงในประเทศ จนเกษตรกรเขาอยู่ไม่ได้ เพราะต้นทุนสูงไม่ต่างจากทำบ่อกุ้ง
นายวัลลภฯ กล่าวว่า ปลากะพง จะกินปลาหมอคางดำเป็นตัวเลือกสุดท้าย ตนเคยทดลอง ปล่อยปลานิล รวมกับปลาหมอคางดำ และก็ปล่อยปลากะพงตัวละ 7 – 8 นิ้วลงไป ผลปรากฏว่า ปลานิลหมดไม่เหลือ แต่ปลาหมอคางดำกลับเยอะมากขึ้น ต่อมา ก็ลงปลานิล กุ้ง ปลาหมอคางดำ และปลากะพง สุดท้าย กุ้ง กับ ปลานิล ก็หมดไม่เหลือเช่นกัน ดังนั้นการปล่อยปลากะพงเยอะ ก็หม่ใช่ว่าจะกินปลาหมอคางดำอย่างเดียว แต่มันจะไปกนหลาชนิดอื่นไม่เหลืออีกเช่นกัน
ด้าน นายณัฏฐพล เข็มกำเนิด เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในพื้นที่ หมู่ 4 ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงครามกล่าวว่า เมื่อ 10 ปี ก่อนตนเลี้ยงสัตว์น้ำแบบธรรมชาติกว่า 500 ไร่ สามารถจับปลาพื้นถิ่น เช่น กุ้ง ปลากระบอก ปลาดุก ปลาหมอเทศ และปลาธรรมชาติธรรมชาติ แต่เมื่อปี 2554 ตั้งแต่ปลาหมอคางดำเริ่มระบาดมันกินลูกกุ้ง ลูกปลา จนหมดเลย ผู้เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงสัตว์น้ำเจ๊หมด เพราะว่าต้องจ่ายค่าเช่า ทุกปี แต่ปล่อยกุ้งกี่ครั้ง ขึ้นมาก็เป็นปลาหมอคางดำ ที่ผ่านมาตนเคยสู้กับปลาหมอคางดำมานานแล้ว เคยคิดจะพัฒนาบ่อให้เป็นเชิงพาณิชย์มีการจัดระบบกรองน้ำเข้า โดยการจับปลาขึ้นให้หมด ตากบ่อกว่า 2 เดือน จนดินแห้งแตกระแหงเป็นฝุ่น แล้วก็นำรถแบ็คโฮ เข้าไปดันบ่อปรับพื้นแต่งบ่อใหม่ทั้งหมด และตากบ่อต่ออีก คิดว่าจะฆ่าปลาหมอคางดำให้หมด จากนั้นเมื่อฝนตกลงมา ตนก็เห็นว่ามีอะไรดำผุดในน้ำ ตนนึกว่าลูกอ๊อด แต่เข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าเป็นลูกปลาหมอคางดำ ตนยังงงว่า ลูกปลาตกจากท้องฟ้า หรือ อยู่ในดิน แต่จากการวิเคราะห์จึงสรุปว่าปลาหมอคางดำมันคายไข่ทิ้งไว้ในบ่อ มันทนมาก ตนแดด พอมีน้ำเข้ามามันก็ฟักเป็นตัว กลับมาอีก ตนสู้มันไม่ได้มันไม่ยอมตาย ตนไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง ก็เลยเลิกเลี้ยงไปค่อนข้างเยอะ เหลือไม่กี่ร้อยไร่ และก็ต้องเปลี่ยนมาเลี้ยงปลากะพง แต่ราคาก็ไม่ดี สู้กับราคากุ้ง ราคาปลากระบอก ราคาสัตว์น้ำเมื่อก่อนไม่ได้
ชาวบ้านก็เดือดร้อน ก็อยากฝากเตือนนักวิชาการว่าสิ่งที่น่ากลัวของปลาหมอคางดำอีกอย่างคือไข่ เพราะแม้ตัวมันตาย แต่จะคายไข่ไว้ เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน มันไม่ใช่ว่าเราตากแดดฆ่ามันได้ เวาลามันถูกจับมันจะคายไข่ทิ้งไว้ มันก็เลยฆ่ามันไม่หมด เราสู้มันไม่ได้จริงๆ และไม่มีหนทางที่จะกำจัดจริงๆ ปล่อยปลากะพงไป มันก็ไปกินไม่หมด มันมันออกลูกเยอะ และขนาด 2 นิ้ว เนี่ยมันออกลูกแล้ว หากเราปล่อยปลากะพง 4 นิ้ว หวังมันกินลูกปลาตัวเล็กๆ กินไปไข่ แต่พ่อปลาก็จะอมไข่ไว้ปลากะพงจะกินยังไง ดังนั้นหากจะปล่อยก็ควรปล่อยขนาด ฝ่ามือ หรือ 4 ขีด ก็อาจจะกินลูกปลาขนาด 1 นิ้ว 2 นิ้วได้ แต่ปลากะพงจะกินปลาชนิดอื่นก่อน และจะกินหมอคางดำเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะก้างมันแข็ง เวลาปลาหมอจะถูกกินมันจะกางก้างออก ปลากะพงก็กินยาก
ปัญหานี้มันมาจากบริษัทเอกชน ที่อยู่ในพื้นที่ เพราะตนเลี้ยงสัตว์น้ำอยู่ใกล้บริษัทนั่นแหละ อยู่ห่างกันไม่เกิน 400 ม. น้ำในคลองมาถึงกันหมด ในอดีตปลาหมอคางดำไม่มีสมัยเด็กๆไม่มี เพิ่งจะพบในคลอง เมื่อปี 2554 และเริ่มเยอะจนระบาดหนักในปัจจุบัน ที่ผ่านมาชาวบ้านลงทุนทำบ่อ 100 ไร่ เป็น 10 ล้าน แต่ปัจจุบันเขาเลี้ยงอะไรไม่ได้แล้ว เจ๊งหมด อยู่ไม่ได้ เดือดร้อนกันหมด ตนจึงฝากถึงบริษัทเอกชนให้รับผิดชอบช่วยเหลือเยียวยา สำรวจในพื้นที่มีกี่บ่อ กี่ไร่ แล้วก็มาตกลงกันว่าจะช่วยเหลือเยียวยาเท่าไหร่ คือให้เงินมา แล้วต่อไปนี้ก็คงต้องอยู่กับหมอคางดำให้ได้ เพราะฆ่ามันไม่ได้จริงๆ ตนลองหลายวิธีทั้งเปิดน้ำแห้ง ทำบ่อใหม่ตากแดด ตนสู้กับปลาคางดำมา 4 – 5 ปี ไม่ชนะมัน จึงถอดใจแล้ว
โดยตั้งข้อสงสัยว่า ที่บริษัทเอกชนแจ้งว่าได้ฝังกลบปลาหมอคางดำ แล้ว บริษัทจ้างใครไปฝังกลบ ตนไม่เชื่อ เพราะในอดีตใน จ.สมุทรสงคราม มีตนเป็นเจ้าของรถแบ๊คโฮ 1 ใน 2 ราย ของ จ.สมุทรสงครามเท่านั้น และตนก็เคยเข้าไปทำงานในบริษัทดังกล่าวเป็นประจำ ทั้งกดเข็ม แต่งบ่อ มันคืออาชีพของตน ตนจึงไม่เชื่อว่ามีการฝังกลบซากปลาหมอคางดำ หรือ ถ้าเป็นจริงก็อาจจะเป็นไปได้ว่าไข่ปลามันต้องออกมากับน้ำ จึงคิดว่าตรงนี้คือแหล่งกำเนิด